10 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ สำหรับผิวมัน เนื้อสัมผัสบางเบา ไม่อุดตันผิว
สาระน่ารู้

อยากเลิกติดกาแฟต้องทำไง? 5 เทคนิคลดคาเฟอีน ปรับสมดุลร่างกาย

69
21 ส.ค. 2568
กินกาแฟเยอะผลเสีย

ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของใครหลาย ๆ คน คงจะหนีไม่พ้น “กาแฟ” เพราะเป็นตัวช่วยปลุกร่างกายให้ตื่น รู้สึกสดชื่น และกะปรี้กะเปร่าตลอดวัน แต่รู้มั้ยว่าการดื่มกาแฟเยอะเกินไปอาจทำให้ร่างกายพังแบบไม่รู้ตัว ทั้งนอนไม่หลับ ใจสั่น หรือรู้สึกติดแบบเลิกยากสุด ๆ หลายคนเลยเริ่มมองหาวิธีลดคาเฟอีน เพื่อให้ร่างกายกลับมาสมดุล สดชื่นได้แบบไม่ต้องพึ่งกาแฟตลอดเวลา วันนี้ Cosmenet* มี 5 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณค่อย ๆ เลิกติดกาแฟได้แบบไม่ทรมานมาฝากกันค่า จะมีวิธีเลิกติดกาแฟแบบไหนบ้างตามมาอ่านกัน


ผลเสียจากการกินกาเฟเยอะเกิน


ผลเสียจากการกินกาเฟเยอะเกิน

  • นอนไม่หลับ
คาเฟอีนมีฤทธิ์ไปบล็อก Adenosine ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ร่างกายรู้สึกง่วงตามธรรมชาติ พอเราดื่มกาแฟเยอะเกินไป ร่างกายเลยตื่นตัวทั้งคืน ทำให้นอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่สนิท พอตื่นมาก็รู้สึกเพลียมากกว่าเดิม ต้องพึ่งกาแฟแก้วต่อไปแบบไม่จบสิ้น กลายเป็นวงจรติดคาเฟอีนโดยไม่รู้ตัว

  • มีอาการใจสั่น
คาเฟอีนกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันสูง และบางครั้งอาจรู้สึกใจสั่น มือสั่น หรือมีอาการเหมือนอยู่ไม่สุข โดยเฉพาะคนที่ร่างกายไวต่อคาเฟอีน หรือดื่มรวดเดียวในปริมาณมาก ๆ ซึ่งในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันสูง

  • ภาวะขาดน้ำ
แม้กาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำเป็นส่วนผสม แต่คาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าที่คิด ส่งผลให้ผิวแห้ง ปากแห้ง เวียนหัว หรืออ่อนเพลียได้ง่าย ถ้าใครดื่มกาแฟแต่ไม่ค่อยดื่มน้ำเปล่า ร่างกายยิ่งเสียสมดุลเร็ว

  • กระตุ้นกรดไหลย้อน และโรคกระเพาะ
กาแฟมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ และยังไปกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะมากขึ้น พอดื่มมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการแสบท้อง จุกเสียด กรดไหลย้อน หรือกระเพาะอักเสบ โดยเฉพาะคนที่ดื่มกาแฟตอนท้องว่าง ยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่

  • อารมณ์แปรปรวน
เมื่อร่างกายชินกับการได้รับคาเฟอีนทุกวัน สมองจะคาดหวังว่า “ต้องมีคาเฟอีนในร่างกายถึงจะโฟกัสได้” ถ้าวันไหนไม่ได้ดื่ม อาจมีอาการปวดหัว ง่วงผิดปกติ หงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกหมดแรง เรียกกันว่า Caffeine Withdrawal ซึ่งเป็นสัญญาณว่าร่างกายเริ่ม “ติดกาแฟ” แล้ว

  • ผิวโทรม ไม่สดใส
คาเฟอีนกระตุ้นฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ให้หลั่งออกมา ถ้าดื่มเยอะเกินไปอาจทำให้ผิวโทรม เป็นสิวง่าย ผิวแห้งไม่สดใส รวมถึงเร่งให้ร่างกายเสียคอลลาเจนเร็วขึ้น ผิวเลยดูไม่อิ่มฟูเหมือนเดิม


5 เทคนิคลดคาเฟอีนแบบไม่ทรมาน


1. ลดปริมาณคาเฟอีนลงทีละนิด 


ลดปริมาณคาเฟอีนลงทีละนิด

หลายคนพออยากเลิกกาแฟ ก็มักคิดว่าจะต้องหยุดทันที แต่จริง ๆ แล้ววิธีนี้ทำให้เกิดอาการ Caffeine Withdrawal เช่น ปวดหัว ง่วงมากผิดปกติ หงุดหงิดง่าย วิธีที่ดีกว่าคือค่อย ๆ ลดลง เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 3 แก้ว ก็ลดลงเหลือ 2 แก้ว และสุดท้ายลดเหลือวันละ 1 แก้ว หรือถ้าเคยสั่งช็อตเข้ม ๆ ลองเปลี่ยนเป็นเมนูใส่นมเยอะขึ้น เช่น ลาเต้ หรือ คาปูชิโน่ เพื่อเจือจางคาเฟอีนให้เบาลง การลดแบบนี้จะช่วยให้สมองค่อย ๆ ปรับโดยไม่รู้สึกว่าขาดกาแฟกะทันหัน


2. ดื่มเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น


ดื่มเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น

การเลือกเวลาดื่มกาแฟถือว่าเป็นอีกเทคนิคที่ช่วยลดคาเฟอีนได้แบบไม่ต้องฝืน โดยจำกัดให้ดื่มเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น เพราะช่วงเช้าร่างกายกำลังต้องการความสดชื่นเพื่อเริ่มต้นวัน คาเฟอีนจะทำงานในเวลาที่พอดีและช่วยให้โฟกัสได้มากขึ้น แต่หากดื่มกาแฟหลังจากบ่ายสองไปแล้ว คาเฟอีนที่เข้าสู่ร่างกายจะอยู่ต่อไปอีก 6–8 ชั่วโมง ซึ่งอาจไปรบกวนการนอนตอนกลางคืน ทำให้นอนหลับไม่สนิท ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น จนต้องพึ่งกาแฟต่อในวันถัดไปแบบวนลูป ซึ่งการดื่มกาแฟเฉพาะช่วงเช้าจึงเป็นเหมือนการควบคุมไม่ให้ร่างกายสะสมคาเฟอีนมากเกินไป อีกทั้งยังช่วยให้ระบบประสาทไม่ตื่นตัวในเวลาที่ควรพักผ่อนนั่นเองค่ะ


3. หันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนน้อย


หันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนน้อย

การหันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนน้อยถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับสมดุลได้โดยไม่รู้สึกทรมาน ลองเปลี่ยนจากกาแฟเข้ม ๆ เป็นชาเขียวหรือมัทฉะ ซึ่งยังมีคาเฟอีนช่วยให้ตื่นตัวแต่ในปริมาณที่เบากว่าและปลดปล่อยพลังงานช้ากว่า จึงไม่ทำให้ใจสั่นหรือหัวใจเต้นแรง นอกจากนี้ยังสามารถเลือกดื่มชาสมุนไพรอย่างคาโมมายล์หรือเปปเปอร์มินต์ที่ให้ความสดชื่นและช่วยผ่อนคลายโดยแทบไม่มีคาเฟอีนเลย หรือจะลองน้ำผลไม้สดและน้ำผักที่เต็มไปด้วยวิตามินก็เป็นอีกทางเลือกที่ทั้งเติมพลังงานและบำรุงผิวพรรณไปพร้อมกัน เมื่อค่อย ๆ สลับไปหาตัวเลือกเหล่านี้ ร่างกายจะไม่ชินกับการได้รับคาเฟอีนในปริมาณมากทุกวันเหมือนเดิม


4. บูสต์ความสดชื่นด้วยวิธีอื่น


บูสต์ความสดชื่นด้วยวิธีอื่น

บางครั้งที่เรารู้สึกง่วงหรือหมดแรง ไม่ได้แปลว่าร่างกายต้องการกาแฟเสมอไปนะคะ จริง ๆ แล้วเราสามารถเติมพลังให้ร่างกายกะปรี้กะเปร่าด้วยวิธีอื่นได้ อย่างการลุกขึ้นขยับร่างกาย เดินยืดเส้นยืดสายสัก 5–10 นาที ให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและตาสว่างได้ทันที หรือถ้าไม่สะดวกขยับมาก แค่ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นหรือนั่งในที่อากาศถ่ายเทก็ช่วยรีเฟรชความรู้สึกให้ตื่นตัวขึ้นมาได้เหมือนกัน อีกวิธีที่เวิร์กคือเลือกของว่างที่ช่วยเติมพลังอย่างถั่ว ผลไม้สด หรือโยเกิร์ต เพราะโปรตีนและไฟเบอร์ในอาหารเหล่านี้จะค่อย ๆ ปล่อยพลังงานออกมา ทำให้ร่างกายรู้สึกมีแรงอย่างต่อเนื่องมากกว่าการได้คาเฟอีนแบบพุ่งเร็วแล้วตกฮวบ


5. ปรับเวลานอนใหม่


ปรับเวลานอนใหม่

จริง ๆ แล้วสาเหตุหลักที่ทำให้หลายคนต้องพึ่งกาแฟก็คือการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ การจัดเวลาและคุณภาพการนอนใหม่จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดคาเฟอีนได้อย่างยั่งยืนที่สุด เริ่มง่าย ๆ จากการพยายามนอนและตื่นให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกายทำงานเป็นปกติ หลีกเลี่ยงการใช้มือถือหรือจอดิจิทัลก่อนนอนสัก 30 นาที เพราะแสงสีฟ้าจะรบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้หลับลึก ควรสร้างบรรยากาศในห้องนอนให้น่านอน เช่น อุณหภูมิไม่ร้อนเกินไป ห้องมืดและเงียบ หรืออาจเปิดเพลงผ่อนคลายเบา ๆ เพื่อให้สมองค่อย ๆ ปิดโหมดทำงาน เมื่อคุณนอนหลับสนิทได้วันละ 6–8 ชั่วโมงเต็มที่ ตื่นขึ้นมาจะรู้สึกสดชื่นโดยไม่ต้องรีบวิ่งไปหากาแฟทันที


-----------------------
*Cosmenet Smart Beauty รีวิวดีบอกต่อ
ค้นหารีวิวเครื่องสำอาง สกินแคร์ แบบจริงใจได้ที่นี่ www.cosmenet.in.th
-----------------------


พิสูจน์แล้วว่าการลดคาเฟอีนไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิด เพียงแต่ต้องค่อย ๆ ลดอย่างมีระบบ พร้อมมองหาตัวเลือกที่เหมาะสม และจัดการการนอนให้เพียงพอ ตาม 
5 เทคนิคลดคาเฟอีนแบบไม่ทรมานที่เรานำมาฝาก เท่านี้ร่างกายก็จะค่อย ๆ ปรับจนกลับมาแข็งแรง สดชื่นได้โดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีนแล้วค่าา

FAQs คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

Q: กาแฟควรกินหลังจากตื่นนอนกี่ชั่วโมง?
A: โดยทั่วไปควรดื่มกาแฟหลังตื่นประมาณ 1.5–2 ชั่วโมง เพราะช่วงที่เพิ่งตื่นร่างกายจะหลั่งคอร์ติซอลสูงสุดตามธรรมชาติอยู่แล้ว หากดื่มทันที คาเฟอีนจะทับกับการทำงานของฮอร์โมน ทำให้ประสิทธิภาพลดลงในระยะยาว การรอจะช่วยให้คาเฟอีนออกฤทธิ์เต็มที่และความตื่นตัวอยู่ได้นานขึ้น แต่ถ้านอนน้อยหรือต้องตื่นทำงานเช้ามืด กาแฟทันทีอาจช่วยได้ ส่วนผู้ที่ทำงานเป็นกะก็ควรรอ 1–2 ชั่วโมงหลังตื่นเช่นกัน สรุปคือถ้าตื่น 7 โมง ควรดื่มราว 8:30–9:00 จะดีที่สุดค่ะ
Q: ต่อวันร่างกายควรได้รับคาเฟอีนไม่ควรเกินปริมาณเท่าไร?
A: ปริมาณคาเฟอีนที่แนะนำต่อวันสำหรับคนทั่วไปคือ ไม่เกิน 400 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับกาแฟชงประมาณ 3-4 แก้ว (แก้วละ 240 มล.) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการชงและชนิดของกาแฟด้วย สำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือผู้มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือโรคนอนไม่หลับ ควรจำกัดให้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม/วัน หรือประมาณ 1–2 แก้ว และควรเลี่ยงการดื่มช่วงบ่าย-เย็นเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับ
Q: คนตั้งครรภ์สามารถดื่มกาแฟได้ไหม?
A: คนตั้งครรภ์ สามารถดื่มกาแฟได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณอย่างเข้มงวด โดยแนะนำว่าควรได้รับคาเฟอีน ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน (ประมาณกาแฟ 1 แก้วขนาดมาตรฐาน 240 มล. หรือเอสเพรสโซ่ช็อต 1–2 ช็อต ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นการชง)
What's new
14 ครีมรักษาสิว ตัวปังปี 2025 ปราบสิวแมสก์ สิวอุดตันอยู่หมัด!รีวิวมาสก์พี่จองคัลแลนจาก DERMEDY ทั้ง 4 สูตรที่ผิวบอกใช่ใจบอกฟูรวม 4 เซรั่มลดจุดด่างดำ ซองก็เริ่ดขวดก็ปัง! เคลียร์ผิวใสไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์All About You มุ่งเป็นพื้นที่เซฟโซนของคนผิวแพ้ง่าย เดินหน้ายกระดับร้าน “Clean Beauty” สู่ “Clean Lifestyle”ดับกลิ่นจิมิโกะ 5 วิธี เซย์กู๊ดบาย “กลิ่นปลาเค็ม” ไม่ให้กลิ่นโชย5 ที่ล้างแปรงแต่งหน้าตัวฮิต ล้างสะอาด ถนอมขนแปรง ลดสิวผิวไม่พัง!10 ครีมอาบน้ำผิวขาวใส ยี่ห้อไหนดี บำรุงผิวชุ่มชื้น ผิวไม่แห้งเป็นขุย ดูดวงความรัก การงาน การเรียน การเงิน ระหว่าง 17 – 23  ส.ค. 68 (ทุกราศี) ชวนเช็ก Personal Color หาโทนสีประจำตัวที่ใช่ จะแต่งลุคไหนก็เกิด!กิจกรรม :: ชวนทดลองใช้ Hygiene Skin Care Series  ปรับผ้านุ่ม…หอมติดผิว นุ่มติดใจ จำนวน 50 รางวัล
COMMENTS
4 ความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
Thanks
21 ส.ค. 2568 เวลา 16:58 น.
ความคิดเห็นที่ 3
ขอบคุณค่ะ
21 ส.ค. 2568 เวลา 15:05 น.
ความคิดเห็นที่ 2
ต้องลองบ้างแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
21 ส.ค. 2568 เวลา 14:57 น.
ความคิดเห็นที่ 1
ขอบคุณค่า อยากลดพอดีเลย
21 ส.ค. 2568 เวลา 12:13 น.