ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของใครหลาย ๆ คน คงจะหนีไม่พ้น “กาแฟ” เพราะเป็นตัวช่วยปลุกร่างกายให้ตื่น รู้สึกสดชื่น และกะปรี้กะเปร่าตลอดวัน แต่รู้มั้ยว่าการดื่มกาแฟเยอะเกินไปอาจทำให้ร่างกายพังแบบไม่รู้ตัว ทั้งนอนไม่หลับ ใจสั่น หรือรู้สึกติดแบบเลิกยากสุด ๆ หลายคนเลยเริ่มมองหาวิธีลดคาเฟอีน เพื่อให้ร่างกายกลับมาสมดุล สดชื่นได้แบบไม่ต้องพึ่งกาแฟตลอดเวลา วันนี้ Cosmenet* มี 5 เทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณค่อย ๆ เลิกติดกาแฟได้แบบไม่ทรมานมาฝากกันค่า จะมีวิธีเลิกติดกาแฟแบบไหนบ้างตามมาอ่านกัน
ผลเสียจากการกินกาเฟเยอะเกิน

คาเฟอีนมีฤทธิ์ไปบล็อก Adenosine ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ร่างกายรู้สึกง่วงตามธรรมชาติ พอเราดื่มกาแฟเยอะเกินไป ร่างกายเลยตื่นตัวทั้งคืน ทำให้นอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่สนิท พอตื่นมาก็รู้สึกเพลียมากกว่าเดิม ต้องพึ่งกาแฟแก้วต่อไปแบบไม่จบสิ้น กลายเป็นวงจรติดคาเฟอีนโดยไม่รู้ตัว
คาเฟอีนกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันสูง และบางครั้งอาจรู้สึกใจสั่น มือสั่น หรือมีอาการเหมือนอยู่ไม่สุข โดยเฉพาะคนที่ร่างกายไวต่อคาเฟอีน หรือดื่มรวดเดียวในปริมาณมาก ๆ ซึ่งในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันสูง
แม้กาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำเป็นส่วนผสม แต่คาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าที่คิด ส่งผลให้ผิวแห้ง ปากแห้ง เวียนหัว หรืออ่อนเพลียได้ง่าย ถ้าใครดื่มกาแฟแต่ไม่ค่อยดื่มน้ำเปล่า ร่างกายยิ่งเสียสมดุลเร็ว
- กระตุ้นกรดไหลย้อน และโรคกระเพาะ
กาแฟมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ และยังไปกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะมากขึ้น พอดื่มมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการแสบท้อง จุกเสียด กรดไหลย้อน หรือกระเพาะอักเสบ โดยเฉพาะคนที่ดื่มกาแฟตอนท้องว่าง ยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่
เมื่อร่างกายชินกับการได้รับคาเฟอีนทุกวัน สมองจะคาดหวังว่า “ต้องมีคาเฟอีนในร่างกายถึงจะโฟกัสได้” ถ้าวันไหนไม่ได้ดื่ม อาจมีอาการปวดหัว ง่วงผิดปกติ หงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกหมดแรง เรียกกันว่า Caffeine Withdrawal ซึ่งเป็นสัญญาณว่าร่างกายเริ่ม “ติดกาแฟ” แล้ว
คาเฟอีนกระตุ้นฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ให้หลั่งออกมา ถ้าดื่มเยอะเกินไปอาจทำให้ผิวโทรม เป็นสิวง่าย ผิวแห้งไม่สดใส รวมถึงเร่งให้ร่างกายเสียคอลลาเจนเร็วขึ้น ผิวเลยดูไม่อิ่มฟูเหมือนเดิม
5 เทคนิคลดคาเฟอีนแบบไม่ทรมาน
1. ลดปริมาณคาเฟอีนลงทีละนิด

หลายคนพออยากเลิกกาแฟ ก็มักคิดว่าจะต้องหยุดทันที แต่จริง ๆ แล้ววิธีนี้ทำให้เกิดอาการ Caffeine Withdrawal เช่น ปวดหัว ง่วงมากผิดปกติ หงุดหงิดง่าย วิธีที่ดีกว่าคือค่อย ๆ ลดลง เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 3 แก้ว ก็ลดลงเหลือ 2 แก้ว และสุดท้ายลดเหลือวันละ 1 แก้ว หรือถ้าเคยสั่งช็อตเข้ม ๆ ลองเปลี่ยนเป็นเมนูใส่นมเยอะขึ้น เช่น ลาเต้ หรือ คาปูชิโน่ เพื่อเจือจางคาเฟอีนให้เบาลง การลดแบบนี้จะช่วยให้สมองค่อย ๆ ปรับโดยไม่รู้สึกว่าขาดกาแฟกะทันหัน
2. ดื่มเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น
การเลือกเวลาดื่มกาแฟถือว่าเป็นอีกเทคนิคที่ช่วยลดคาเฟอีนได้แบบไม่ต้องฝืน โดยจำกัดให้ดื่มเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น เพราะช่วงเช้าร่างกายกำลังต้องการความสดชื่นเพื่อเริ่มต้นวัน คาเฟอีนจะทำงานในเวลาที่พอดีและช่วยให้โฟกัสได้มากขึ้น แต่หากดื่มกาแฟหลังจากบ่ายสองไปแล้ว คาเฟอีนที่เข้าสู่ร่างกายจะอยู่ต่อไปอีก 6–8 ชั่วโมง ซึ่งอาจไปรบกวนการนอนตอนกลางคืน ทำให้นอนหลับไม่สนิท ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น จนต้องพึ่งกาแฟต่อในวันถัดไปแบบวนลูป ซึ่งการดื่มกาแฟเฉพาะช่วงเช้าจึงเป็นเหมือนการควบคุมไม่ให้ร่างกายสะสมคาเฟอีนมากเกินไป อีกทั้งยังช่วยให้ระบบประสาทไม่ตื่นตัวในเวลาที่ควรพักผ่อนนั่นเองค่ะ
3. หันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนน้อย

การหันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนน้อยถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับสมดุลได้โดยไม่รู้สึกทรมาน ลองเปลี่ยนจากกาแฟเข้ม ๆ เป็นชาเขียวหรือมัทฉะ ซึ่งยังมีคาเฟอีนช่วยให้ตื่นตัวแต่ในปริมาณที่เบากว่าและปลดปล่อยพลังงานช้ากว่า จึงไม่ทำให้ใจสั่นหรือหัวใจเต้นแรง นอกจากนี้ยังสามารถเลือกดื่มชาสมุนไพรอย่างคาโมมายล์หรือเปปเปอร์มินต์ที่ให้ความสดชื่นและช่วยผ่อนคลายโดยแทบไม่มีคาเฟอีนเลย หรือจะลองน้ำผลไม้สดและน้ำผักที่เต็มไปด้วยวิตามินก็เป็นอีกทางเลือกที่ทั้งเติมพลังงานและบำรุงผิวพรรณไปพร้อมกัน เมื่อค่อย ๆ สลับไปหาตัวเลือกเหล่านี้ ร่างกายจะไม่ชินกับการได้รับคาเฟอีนในปริมาณมากทุกวันเหมือนเดิม
4. บูสต์ความสดชื่นด้วยวิธีอื่น

บางครั้งที่เรารู้สึกง่วงหรือหมดแรง ไม่ได้แปลว่าร่างกายต้องการกาแฟเสมอไปนะคะ จริง ๆ แล้วเราสามารถเติมพลังให้ร่างกายกะปรี้กะเปร่าด้วยวิธีอื่นได้ อย่างการลุกขึ้นขยับร่างกาย เดินยืดเส้นยืดสายสัก 5–10 นาที ให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและตาสว่างได้ทันที หรือถ้าไม่สะดวกขยับมาก แค่ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นหรือนั่งในที่อากาศถ่ายเทก็ช่วยรีเฟรชความรู้สึกให้ตื่นตัวขึ้นมาได้เหมือนกัน อีกวิธีที่เวิร์กคือเลือกของว่างที่ช่วยเติมพลังอย่างถั่ว ผลไม้สด หรือโยเกิร์ต เพราะโปรตีนและไฟเบอร์ในอาหารเหล่านี้จะค่อย ๆ ปล่อยพลังงานออกมา ทำให้ร่างกายรู้สึกมีแรงอย่างต่อเนื่องมากกว่าการได้คาเฟอีนแบบพุ่งเร็วแล้วตกฮวบ
5. ปรับเวลานอนใหม่

จริง ๆ แล้วสาเหตุหลักที่ทำให้หลายคนต้องพึ่งกาแฟก็คือการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ การจัดเวลาและคุณภาพการนอนใหม่จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดคาเฟอีนได้อย่างยั่งยืนที่สุด เริ่มง่าย ๆ จากการพยายามนอนและตื่นให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกายทำงานเป็นปกติ หลีกเลี่ยงการใช้มือถือหรือจอดิจิทัลก่อนนอนสัก 30 นาที เพราะแสงสีฟ้าจะรบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้หลับลึก ควรสร้างบรรยากาศในห้องนอนให้น่านอน เช่น อุณหภูมิไม่ร้อนเกินไป ห้องมืดและเงียบ หรืออาจเปิดเพลงผ่อนคลายเบา ๆ เพื่อให้สมองค่อย ๆ ปิดโหมดทำงาน เมื่อคุณนอนหลับสนิทได้วันละ 6–8 ชั่วโมงเต็มที่ ตื่นขึ้นมาจะรู้สึกสดชื่นโดยไม่ต้องรีบวิ่งไปหากาแฟทันที
-----------------------
*Cosmenet Smart Beauty รีวิวดีบอกต่อ
-----------------------
พิสูจน์แล้วว่าการลดคาเฟอีนไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิด เพียงแต่ต้องค่อย ๆ ลดอย่างมีระบบ พร้อมมองหาตัวเลือกที่เหมาะสม และจัดการการนอนให้เพียงพอ ตาม 5 เทคนิคลดคาเฟอีนแบบไม่ทรมานที่เรานำมาฝาก เท่านี้ร่างกายก็จะค่อย ๆ ปรับจนกลับมาแข็งแรง สดชื่นได้โดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีนแล้วค่าา