ดับกลิ่นจิมิโกะ 5 วิธี เซย์กู๊ดบาย “กลิ่นเค็ม” ไม่ให้กลิ่นโชย
- เลี่ยงกินอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น
- เซ็ตผมให้น้องสาวบ้างก็ดีนะ
- ทำความสะอาดน้องสาวให้พอดี
- ไม่ใส่กางเกงที่รัดเกินไป
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
"กลิ่นจิมิโกะ หรือกลิ่นของน้องสาว คือกลิ่นเฉพาะตัวที่มีกันทุกคน" บ้างก็ว่าหอม บ้างก็ว่าเหม็นเค็ม หรือบางคนก็บอกว่าเป็นกลิ่นปกติ อันนี้ก็อาจจะขึ้นอยู่กับความคุ้นชินกลิ่นนั้น ๆ ของแต่ละคน แต่กลิ่นที่เราคุ้นชินและมองว่าเป็นปกติ สำหรับคนอื่น ๆ มันอาจจะไม่ได้ปกติก็ได้นะ! และเอาเข้าจริงก็คงไม่มีใครกล้าเตือนคุณหรอกว่า "เธอ ๆ จิมิเธอเหม็นจัง"
เพราะฉะนั้น ก่อนที่เพื่อนปากเสียของคุณจะแอบเอากลิ่นจิมิไปนินทา หรือพูดเตือนออกมาให้สะเทือนใจ เราก็รีบมาสำรวจกลิ่นจิมิของเราและทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า ไปดูกันว่ากลิ่นแบบไหนคือ “กลิ่นจิมิโกะเหม็น” หรือ “กลิ่นจิมิโกะปกติ” พร้อมกับ 5 วิธีกำจัดกลิ่นจิมิกัน!
กลิ่นจิมิโกะ มีสาเหตุมาจากอะไร?
กลิ่นจิมิโกะถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็สร้างความกังวลใจให้สาว ๆ อย่างเราอยู่ไม่น้อย งั้นเรามาดูไปพร้อม ๆ กันดีกว่าว่ากลิ่นจิมิโกะ มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง?
- เหงื่อและความอับชื้น : บริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นพื้นที่ที่อับชื้นง่ายมาก เมื่อมีเหงื่อออกสะสมตลอดวัน คิดภาพตามนะอุณหภูมิอุ่น ๆ บวกกับการเสียดสีจากกางเกงชั้นในหรือกางเกงรัดรูป นี่แหละจึงทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัว
- แบคทีเรียตามธรรมชาติ : ช่องคลอดและผิวหนังรอบ ๆ มักมีแบคทีเรียดีอาศัยอยู่เพื่อรักษาความสมดุล แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ใส่แผ่นอนามัยหรือผ้าอนามัยนานเกินไป ล้างบ่อยด้วยสบู่แรง ๆ หรือใช้สเปรย์ดับกลิ่น สิ่งเหล่านี้อาจจะเข้ารบกวนสมดุลจุลินทรีย์ ทำให้แบคทีเรียบางชนิดเติบโตมากขึ้น จนกลิ่นจิมิโกะผิดปกติ
- การติดเชื้อในช่องคลอด : เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis) จะทำให้มีกลิ่นคาวปลาแร๊งส์ผิดปกติ หรือถ้าติดเชื้อราก็อาจมีตกขาวลักษณะข้นและมีกลิ่นอับร่วมด้วย และในกรณีที่มีกลิ่นร่วมกับอาการแสบ คัน อันนี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนเลย
- การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน : ช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือช่วงวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนร่างกายของผู้หญิงก็จะเปลี่ยน ทำให้ pH ในช่องคลอดปรับเปลี่ยนตาม กลิ่นจิมิโกะก็เลยอาจแตกต่างไปจากเดิมได้
- อาหารและเครื่องดื่มบางชนิด : การกินของหมักดอง อาหารรสจัด อาหารทะเล อาหารที่มีกรดด่างสูง หรือใครที่ชอบทานหวาน 100 % เท่านั้นนี่ก็ต้องระวัง เพราะอาจส่งผลต่อกลิ่นกาย รวมถึงกลิ่นจุดซ่อนเร้นก็เกี่ยวด้วยนะ
- สุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม : การเปลี่ยนแผ่นอนามัยหรือผ้าอนามัยไม่บ่อยมากพอ หรือการใส่กางเกงชั้นในรัดรูปมากเกินไป มีการอับชื้น แม้แต่การซักกางเกงชั้นในไม่สะอาด นี่แหละแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี ที่อาจทำให้จิมิโกะเกิดกลิ่นได้ง่าย
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) : เช่น โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis หรือเรียกสั้นๆ ว่า Trich) แสดงอาการได้ตั้งแต่เล็กน้อยจนไปถึงการอักเสบขั้นรุนแรง นี่แหละที่ทำให้มีจิมิโกะมีกลิ่นแรงผิดปกติ
กลิ่นจิมิโกะ แบบไหนที่คุณกำลังมี?
เรามาสังเกตกันดีกว่าว่า “กลิ่นจิมิโกะ” แบบไหนที่กำลังบอกสัญญาณสุขภาพตามธรรมชาติ หรืออาจเป็นความผิดปกติที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
- กลิ่นอับแบบคาว ๆ : เป็นกลิ่นที่มักเกิดในช่วงหลังมีประจำเดือน รวมถึงช่วงมีเพศสัมพันธ์ มันจะมีกลิ่นที่เรียกว่ากลิ่นโลหะ มีอยู่ชั่วคราวเท่านั้นด้วยค่า pH หรือความเป็นกรดในช่องคลอดเปลี่ยนไปเพราะเลือดและอสุจิ ดังนั้นหากเพื่อน ๆ มีกลิ่นนี้เป็นประจำ แม้ไม่ได้อยู่ในช่วงดังกล่าว ควรพบแพทย์เลยค่ะ
- กลิ่นอับแบบกลิ่นยีสต์ : จะมีอาการคัน ๆ และตกขาวข้นร่วมด้วย แบบนี้คือติดเชื้อยีสต์ หรือช่องคลอด (Candidiasis) เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือใส่ชุดชั้นในที่อับชื้น บางคนบอกกลิ่นเหมือนขนมปัง อันนี้ก็ลองสังเกตกันดูนะ
- กลิ่นหอม : แต่ถ้ามันหอมล่ะ คือช่องคลอดหอมก็ใช่จะว่าจะปกตินะ บางทีก็อาจจะผิดปกติ เพียงแต่ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น ซึ่งบางทีเหงื่อออกบริเวณนั้นมาก ๆ ชุดชั้นในก็รัดแน่นจนเกินไป อันนี้ก็ควรทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและเลือกใส่ชุดชั้นในที่หลวมขึ้นมาหน่อย กลิ่นจิมิโกะก็จะค่อย ๆ กลับมาปกติได้
- กลิ่นคาวปลาเค็ม ๆ : จิมิโกะบางทีก็มีกลิ่นคาว หากกลิ่นคาวปกติก็ไม่เป็นไร เพราะช่องคลอดมันต้องมีกลิ่นแบบนี้นิดหน่อย ไม่ออกมารบกวนใคร ยกเว้นแต่ช่วงมีประจำเดือนกลิ่นก็อาจแรงหน่อย หรือหากกลิ่นคาวแรงมาก ๆ นี่อาจเป็นสัญญาณที่อาจเกิดการติดเชื้อแล้วก็ได้ ดังนั้นจึงต้องสังเกตให้ดีว่ากลิ่นแรงไม่หายนานมั้ย เพราะถ้าเป็นนาน ๆ เข้าก็ควรพบพบแพทย์ซักหน่อยจะดีกว่า
- กลิ่นเหม็นเน่า : หากมีกลิ่นเน่าแสดงว่าน้องจิมิโกะเริ่มไม่โอเคอย่างมากแล้ว รีบพบหมอด่วนเลยค่ะเคสนี้

เพราะช่องคลอดของคนเรามักจะมีแบคทีเรียหลายชนิดอาศัยอยู่ หรือเรียกว่าเป็นแบคทีเรียประจำถิ่น ถ้าเรากินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ หรือกินอาหารบางประเภทมากเกินไป ล้างไม่สะอาดหรือแม้แต่ล้างสะอาดเกินไป ก็อาจจะทำให้แบคทีเรียประจำถิ่นเสียสมดุล และผลที่ตามก็มาคือกลิ่นจิมิโกะที่โชยแรงนั่นเองค่ะ
5 วิธี ดูแลตัวเองยังไง ให้น้องสาวไร้กลิ่น
1. วิธีกำจัดกลิ่นจิมิโกะ : เลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น
หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่อาจทำให้เกิดกลิ่น เช่น อาหารทะเลบางชนิด เครื่องเทศต่าง ๆ หรือในบางคนถ้ากินอาหารจำพวก นม เนย ชีส มากเกินไป ก็ส่งผลให้มีกลิ่นจิมิโกะที่ผิดปกติด้วยเช่นกัน
Tip : อย่างที่รู้ ๆ กันว่าในช่องคลอดของเรามีแบคทีเรียที่ชื่อว่า ‘แลคโตบาซิลลัส’ อาศัยอยู่ จึงทำให้บางคนเชื่อว่าการกิน นมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ต จะช่วยดับกลิ่นจิมิโกะได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ช่วยกำจัดกลิ่นจิมิโกะได้อย่าง 100% นะคะ เพียงแค่ลดการเพิ่มจำนวนเชื้อราในช่องคลอดเล็กน้อยเท่านั้นเอง
2. วิธีกำจัดกลิ่นจิมิโกะ : เซ็ตผมให้น้องสาวบ้างก็ดี
จัดแต่งทรงผมให้น้องสาวเรากันสักนิด โดยซอยผม (เพชร) ให้บางลง สักเดือนละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความหนาบางของแต่ละคน เพื่อไม่ให้มันรุงรัง ซอยบาง ๆ ไม่ต้องถึงขั้นบวชชี เพราะนี่แหละคือสาเหตุของการเกิดกลิ่นอับชื้นอย่างดีเลย
Tip : ที่บอกว่าไม่ต้องถึงขั้นบวชชี สงสัยกันใช่มั้ยหล่ะว่าทำไม? ธรรมชาติที่สร้างมาก็คงมีเหตุผลอยู่แล้วแหละ เพราะการมีขนน้องสาวเนี่ย ก็เพื่อลดการเสียดสีและเป็นเกราะป้องกันสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้ามาในจุดซ่อนเร้นได้ง่าย หากกำจัดน้องไปซะหมด ในบางคนอาจะเกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้นได้ แต่อันนี้ก็แล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละคนได้เลยนะ
ชอปเลย! หวีซอยอเนกประสงค์สำหรับผู้หญิง : Ashley Hair Cutter กำจัดขนที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างง่ายดาย มาในรูปแบบที่ใช้งานง่าย จัดถนัดมือ ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหลังการใช้งาน
3. วิธีกำจัดกลิ่นจิมิโกะ : ทำความสะอาดน้องสาวให้พอดี
ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยน้ำสะอาด บางคนก็อาจจะใช่สบู่ล้างจุดซ้อนเร้น ซึ่งจริง ๆ แพทย์จะไม่ค่อยแนะนำให้ใช้พวกสบู่ในการล้างทำความสะอาดจิมิโกะเท่าไหร่ เพราะเสี่ยงต่อการเสียสมดุลของแบคทีเรียดีที่อยู่บริเวณช่องคลอดของเรา หากมีความจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับช่องคลอด (3.8-4.5)
และที่สำคัญล้างแค่บริเวณด้านนอกให้สะอาดก็พอแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องสวนล้างเข้าไปข้างใน เพราะอาจจะทำให้ช่องคลอดมีภาวะเป็นด่างได้ ส่วนเวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะ แนะนำให้ใช้ทิชชู่ที่เราเตรียมไปเองจะดีกว่า เป็นทิชชู่เปียกได้ยิ่งดีค่ะ
Tip : การเช็ดช่องคลอดที่ถูกต้อง ควรใช้ทิชชู่เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง หรือเช็ดเป็นวงกลมในทิศทางเดียว หลีกเลี่ยงเลยนะการเช็ดกลับไปกลับมา อันนี้ก็เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจติดเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนักจะแพร่มาสู่ช่องคลอดนั่นเองค่า
ชอปเลย! น้ำยาล้างน้องสาว : Shokubutsu Feminine Cleansing ช่วยรักษาสมดุล pH บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ไม่แห้งคัน โดยเฉพาะช่วงวันนั้นของเดือน หมดกังวลเรื่องกลิ่นอับชื้น คืนความมั่นใจกว่าที่เคย
♦
กดซื้อได้ที่นี่ : Shopee, Lazada
5. วิธีกำจัดกลิ่นจิมิโกะ : ไม่ใส่กางเกงที่รัดเกินไป
ไม่ใส่กางเกงชั้นใน หรือแม้แต่กางเกงด้านนอกที่รัดเป้าแน่นเกินไป เพราะถ้าเราใส่กางเกงที่รัดแน่นเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจจะทำให้เวลาที่มีเหงื่อออกในบริเวณน้องสาว ได้รับการระบายที่ไม่ดี ส่งผลให้เกิดความอับชื้น และแบคทีเรียก็อาจตามมาได้
Tip : การเลือกกางเกงชั้นในจึงควรเลือกชนิดผ้าที่ระบายอากาศได้ดี มีความยืดหยุ่น คล่องตัว ไม่อึดอัด เช่น ผ้าฝ้าย, ผ้าใยไผ่, ผ้าลูกไม้, ผ้าไมโครไฟเบอร์, ผ้าซาติน นอกจากชนิดผ้าแล้ว การออกแบบกางเกงชั้นในที่มีส่วนซับพอร์ตรูปร่าง ก็มีส่วนสำคัญอีกด้วยนะ สรุปแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่นี่แหละคือหนึ่งสิ่งที่ควรใส่ใจอย่างมาก
ชอปเลย! กางเกงชั้นใน : Sabina Habpy Pretty Perfect เนื้อผ้าให้สัมผัส นุ่ม สวมใส่สบาย ผลิตจากเส้นด้าย Q-Skin จากอิตาลี มีประจุไอออน ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย ไร้กลิ่นอับ ปรับสมดุลทางธรรมชาติ เพิ่มความสดชื่นตลอดทั้งวัน
6. วิธีกำจัดกลิ่นจิมิโกะ : ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือเลือกคู่นอนหน่อยก็ดีนะ เพราะใช่ว่าคนที่เรามีเซ็กส์ด้วยทุกคนจะสะอาด แถมเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีก ดังนั้น Play save นะทุกคน
Tip : การชำระล้างทั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ เป็นอีกส่วนนึงที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดกลิ่นอับหรือการติดเชื้อได้ ที่สำคัญอย่าลืมสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่ใช่แค่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ยังช่วยรักษาสุขอนามัยและความปลอดภัยของทั้งสองฝ่ายด้วยค่ะ
FAQ : เรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับน้องสาว
- Q : ช่วงที่มีประจำเดือนควรเปลี่ยนแผ่นอนามัยหรือผ้าอนามัยวันละกี่ครั้ง?
- A : สำหรับคนปกติ ช่วงที่จิมิโกะกลิ่นแรงที่สุดน่าจะเป็นช่วงมีประจำเดือน หากใช้แผ่นอนามัยก็ควรเปลี่ยนทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง แต่ในกรณีที่ใช้ผ้าอนามัยแบบสอด สามารถใส่ได้นานสุด 4-6 ชั่วโมง แม้ปริมาณประจำเดือนจะลดน้อยลง การเปลี่ยนบ่อย ๆ ก็ยังถือเป็นทางที่ดีที่สุดในการรักษาสุขอนามัยค่ะ
- Q : ควรใช้ "น้ำยาล้างจุดซ่อนเร้น"ล้างจิมิโกะมั้ย?
- A : สบู่และสเปรย์น้ำหอม อาจเข้าไปรบกวนสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอดได้ จนทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมาได้ อย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้น แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนหรือเป็นสูตรเฉพาะสำหรับจุดซ่อนเร้นดีกว่านะคะ
- Q : เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว ทำไมจิมิโกะยังมีกลิ่น?
- A : อย่าคิดว่าแค่หมดประจำเดือนแล้วจะรอด! วัยนี้ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลง ทำให้ช่องคลอดแห้งง่ายขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้เช่นกัน
- Q : ควรเริ่มเข้ารับการตรวจภายในเมื่อไหร่?
- A : แนะนำให้ตรวจภายในทุกปี ตั้งแต่อายุ 25 ปี หรือภายหลังมีเพศสัมพันธ์ 3 ปี แต่หากรู้สึกจิมิโกะผิดปกติไปจากเดิม (ไม่ต้องรอ ไม่ต้องเขินอาย) รีบเข้าพบแพทย์โดยด่วนได้เลย อาการผิดปกติจะถูกรักษาได้ทันท่วงที และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงในอนาคตได้
︾︾︾︾︾
การดูแลจุดซ่อนเร้นไม่ใช่เรื่องยากและไม่ควรมองข้าม เพราะสุขอนามัยที่ดีจะช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้ อย่าลืมสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายกันนะคะ หรือปรึกษาเบื้องต้นกับน้องชมพิ้ง AI ผ่าน LINE ได้ตลอด 24 ชั่วโมง คลิกเลย!
♥ เพราะความมั่นใจเริ่มต้นจากการรักและเข้าใจตัวเองนะคะ ♥
-----------------------
*Cosmenet Smart Beauty รีวิวดีบอกต่อ
ค้นหารีวิวเครื่องสำอาง สกินแคร์ แบบจริงใจได้ที่นี่
www.cosmenet.in.th
-----------------------