สกินแคร์

กลิ่นคนแก่ แก้ยังไง? 5 วิธีป้องกันกลิ่นแก่ ให้กลิ่นกายหอมสดชื่น กู้คืนความมั่นใจกลับมา

23 พ.ค. 2568

เมื่ออายุมากขึ้น นอกจากปัญหาเรื่องริ้วรอยแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้หลายคนหมดความมั่นใจ นั่นก็คือ “กลิ่นคนแก่” หรือ “กลิ่นแก่” ซึ่งเป็นกลิ่นตัวที่เปลี่ยนไปตามวัย ไม่ใช่เรื่องของความสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์นี้ วันนี้ Cosmenet* จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับปัญหากลิ่นคนแก่ พร้อมแนะนำวิธีป้องกันกลิ่นแก่ที่ช่วยให้กลิ่นตัวกลับมาหอมสดชื่นทั้งจากภายในและภายนอก

กลิ่นแก่ หรือ กลิ่นคนแก่ คืออะไร?

กลิ่นแก่ คือกลิ่นเฉพาะตัวที่พบได้ในผู้สูงอายุ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เชื่อว่าหลายคนอาจจะกำลังคิดว่ากลิ่นแก่ไม่มีอยู่จริง หรือกลิ่นแก่ก็คือกลิ่นตัวนั่นแหละ แต่ในความจริงแล้ว “กลิ่นแก่” หรือที่บางคนอาจเรียกว่า “กลิ่นคนแก่” มีอยู่จริงนะคะ โดยเป็นกลิ่นเฉพาะตัวที่มักจะพบได้ในผู้สูงอายุ ซึ่งไม่ใช่กลิ่นที่เกิดจากเหงื่อหรือการไม่รักษาความสะอาด แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดขึ้นตามวัย อีกทั้งยังอาจเป็นสัญญาณจากร่างกายที่บ่งบอกว่าร่างกายของเราเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยที่ระบบต่าง ๆ ทำงานไม่เหมือนเดิมแล้ว

กลิ่นแก่ เกิดจากอะไร?

กลิ่นแก่ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “กลิ่นคนแก่” เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสะอาดโดยตรง กลิ่นนี้มักมีลักษณะเหม็นหืน กลิ่นมัน ๆ หรือคล้ายกลิ่นน้ำมันเก่า และมีแนวโน้มจะติดทนนาน โดยเฉพาะกับเสื้อผ้า เครื่องนอน หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานประจำ

ซึ่งสาเหตุสำคัญของกลิ่นนี้คือ สาร 2-Nonenal ซึ่งเป็นสารประกอบที่เกิดจากการสลายตัวของกรดไขมันไม่อิ่มตัวบนผิวหนัง เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 40 ปี ร่างกายจะเริ่มผลิตสารนี้มากขึ้น ทำให้กลิ่นเริ่มชัดเจนขึ้นตามวัยนั่นเองค่ะ

ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดกลิ่นแก่

ฮอร์โมน : เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่วัยกลางคนเป็นต้นไป ฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้การทำงานของต่อมไขมันบนผิวหนังเปลี่ยนไป ไขมันบางชนิดที่ผิวผลิตออกมาจะสะสมและไวต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เมื่อสัมผัสกับอากาศ แสงแดด หรือแบคทีเรีย จึงเกิดเป็นสาร 2-Nonenal ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะตัว นอกจากนี้ความเป็นกรดของผิวในผู้สูงวัยจะลดลง ทำให้แบคทีเรียที่ก่อกลิ่นเติบโตได้ง่ายขึ้นด้วย

ระบบเผาผลาญ : เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญของร่างกายจะทำงานช้าลง ทำให้ร่างกายจึงสะสมของเสียได้ง่ายขึ้น ทั้งจากอาหาร ยา และกระบวนการภายในต่าง ๆ ของเสียที่ขับออกไม่หมดอาจระบายผ่านเหงื่อหรือตกค้างในเลือด ซึ่งส่งผลให้เกิดกลิ่นตัวได้ในบางคน

การรับประทานอาหาร : นอกจากปัจจัยภายในแล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกที่เป็นสาเหตุของปัญหากลิ่นแก่ด้วย นั่นก็คือการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงหรือมีกลิ่นแรง เช่น ของทอด, เนื้อสัตว์ติดมัน, กระเทียม, หัวหอม และเครื่องเทศจัด ๆ เป็นต้น

การสะสมของแบคทีเรีย : ผิวหนังของเรามีแบคทีเรียและเชื้อราที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยรักษาสมดุลและปกป้องผิว แต่เมื่ออายุมากขึ้น หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอ้าวและชื้น แบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดจะเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่น ข้อพับ รักแร้ หลังหู หรือใต้ร่มผ้า

ปัญหาสุขภาพ : สุขภาพโดยรวมมีผลอย่างมากต่อกลิ่นตัวและการสะสมกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ตับ หรือไต เพราะโรคเหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานของระบบขับของเสียและการเผาผลาญในร่างกาย

การใช้ยาบางประเภท : การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะและยาลดความดันโลหิต อาจส่งผลต่อกลิ่นตัวโดยตรง เพราะยากลุ่มนี้มีผลต่อระบบขับของเสียและสมดุลน้ำในร่างกาย

วิธีป้องกันการเกิดกลิ่นแก่

1. ดูแลความสะอาดของร่างกาย

การดูแลความสะอาดของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันกลิ่นแก่ ควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง โดยเน้นบริเวณที่มีเหงื่อสะสม เช่น รักแร้ ข้อพับ และหลังหู เพราะจุดเหล่านี้มีความชื้นสูง เหมาะแก่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา โดยเลือกใช้ใช้สบู่หรือน้ำยาที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น

หากระหว่างวันมีเหงื่อออกมาก ควรอาบน้ำเพิ่มหรือซับเหงื่อทันที เพื่อลดความชื้นและป้องกันการสะสมเชื้อโรค พร้อมทั้งสวมเสื้อผ้าสะอาดและเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวันเพื่อรักษาความสะอาดผิวหนังอย่างต่อเนื่อง

2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดกลิ่นแก่

สำหรับใครเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีกลิ่นคนแก่ แค่การอาบน้ำชำระล้างร่างกายเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอ แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่มีส่วนช่วยควบคุมกลิ่นแก่ได้ดี เช่น โรลออนหรือสเปรย์ลดแบคทีเรียและระงับเหงื่อ หากเป็นคนผิวแพ้ง่ายควรเลือกสูตรอ่อนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์และพาราเบน เพื่อป้องกันระคายเคือง ส่วนผู้ที่ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความมันและแบคทีเรียบนผิว

3. สวมใส่เสื้อผ้าสะอาดและระบายอากาศได้ดี

การสวมใส่เลื้อผ้าที่สะอาดอยู่เสมอจะช่วยป้องกันกลิ่นแก่ได้เป็นอย่างดี เพราะเสื้อผ้าที่เปื้อนเหงื่อและสกปรกเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งเป็นต้นเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยแนะนำให้เลือกผ้าธรรมชาติ เช่น ฝ้าย หรือลินิน ที่ระบายอากาศและความชื้นได้ดี ลดความอบและชื้น ช่วยชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และในขณะเดียวกันก็ควรหลีกเลี่ยงผ้าสังเคราะห์หรือผ้าหนา เพราะระบายอากาศได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงอาจทำให้เหงื่อสะสมและกลิ่นรุนแรงขึ้น

4. ปรับพฤติกรรมการกินอาหาร

อาหารที่เรากินทุกวันมีผลต่อกลิ่นตัวมากกว่าที่หลายคนคิด โดยควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ของทอด และอาหารมีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม หรือน้ำปลา เพราะอาหารเหล่านี้เมื่อย่อยแล้วจะก่อให้เกิดสารที่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้อาหารที่มีไขมันสูงกับของทอดยังทำให้ระบบย่อยทำงานหนักและสะสมสารพิษ ส่วนอาหารมีกลิ่นแรงมีสารกำมะถันที่ขับออกทางเหงื่อ ทำให้มีกลิ่นเฉพาะตัวตามมาได้

5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยลดกลิ่นแก่ได้จริง! เพราะน้ำช่วยล้างสารพิษและของเสียที่สะสมในร่างกายผ่านทางปัสสาวะและเหงื่อ ทำให้สารที่ก่อกลิ่นลดลง นอกจากนี้ น้ำยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญและรักษาความชุ่มชื้นของผิว ลดการสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นนั่นเอง

-----------------------

*Cosmenet Smart Beauty รีวิวดีบอกต่อ

ค้นหารีวิวเครื่องสำอาง สกินแคร์ แบบจริงใจได้ที่นี่ www.cosmenet.in.th

-----------------------

แม้กลิ่นแก่จะเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ก็สามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ง่าย ๆ ด้วย 5 วิธีป้องกันกลิ่นแก่ ทั้งเรื่องความสะอาด การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ และปรับพฤติกรรมการกิน เพียงเท่านี้ก็สามารถลดกลิ่นไม่พึงประสงค์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วค่าา~