เคยไหม? ตื่นเช้ามาส่องกระจกแล้วรู้สึกหน้าบวม ตัวพอง เสื้อผ้าแน่นขึ้นทั้งที่น้ำหนักเท่าเดิม จนแอบสงสัยว่านี่เรากำลัง “อ้วนขึ้น” จริง ๆ หรือแค่ “บวมน้ำ” กันแน่? ความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้อาจดูคล้าย แต่จริง ๆ แล้วมีสาเหตุและวิธีแก้ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง วันนี้ Cosmenet* จะพามาเช็กสัญญาณให้ชัดว่าเรากำลังอ้วน หรือบวมน้ำ? พร้อมแนะนำพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง อาหารลดบวมน้ำ และแชร์เคล็ดลับง่าย ๆ ในการลดอาการบวมน้ำด้วยตัวเอง เพื่อให้กลับมารู้สึกเบาสบายและมั่นใจในร่างกายได้อีกครั้ง
บวมกับอ้วนต่างกันยังไง?

บวมน้ำเกิดจากร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากเกินไป มักเกิดชั่วคราวจากการกินเค็มเกิน นอนดึก เครียด ฮอร์โมนเปลี่ยน หรือดื่มน้ำน้อย ทำให้น้ำค้างอยู่ในเนื้อเยื่อจนหน้าบวม ขาบวม หรือน้ำหนักขึ้นภายในไม่กี่วัน ลักษณะคือกดผิวแล้วบุ๋มเล็กน้อย และจะค่อย ๆ ยุบลงเมื่อพักผ่อน ดื่มน้ำเยอะ หรือขับปัสสาวะ
ส่วนความอ้วนเกิดจากพลังงานที่กินมากกว่าที่ใช้ ร่างกายนำไปสะสมเป็นไขมันตามหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ทำให้น้ำหนักขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว ผิวไม่บุ๋มเมื่อกด และจะไม่ยุบลงเอง ต้องอาศัยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องจึงจะลดได้นั่นเองค่ะ
เช็กลิสต์ 7 สัญญาณเตือน “อาการบวมน้ำ”

- น้ำหนักขึ้นรวดเร็วภายในไม่กี่วัน : ทั้งที่พฤติกรรมการกินไม่เปลี่ยน แต่อาจขึ้น 1–3 กิโลในช่วงสั้น ๆ
- หน้าบวมหลังตื่นนอน : โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา แก้ม หรือกรอบหน้า ดูพอง ๆ มากกว่าปกติ
- มือ เท้า หรือข้อเท้าบวม : รู้สึกแน่นรองเท้า แหวนคับ หรือถุงเท้ารัดเป็นรอย
- กดผิวแล้วบุ๋ม : เมื่อใช้นิ้วกดลงบนหน้าแข้งหรือหลังมือ จะเห็นรอยบุ๋มเล็ก ๆ ก่อนผิวจะคืนรูปช้า
- รู้สึกแน่นตัวหรือเสื้อผ้าแน่นกว่าปกติ : โดยเฉพาะในช่วงเย็น ทั้งที่น้ำหนักไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก
- ปัสสาวะน้อยหรือสีเข้ม : แสดงว่าร่างกายกำลังขาดน้ำและพยายามกักน้ำไว้
- ผู้หญิงบางคนจะบวมช่วงก่อนมีประจำเดือน : เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้น ทำให้ร่างกายกักน้ำมากขึ้น
สาเหตุ และวิธีแก้อาการบวมน้ำ
1. การกินอาหารเค็มหรือโซเดียมสูง
เมื่อเรากินอาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมมากเกินไป เช่น อาหารแปรรูป, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, ของทอด, ของหมักดอง หรือซอสปรุงรสต่าง ๆ ร่างกายจะเกิดความพยายาม “รักษาสมดุล” โดยกักเก็บน้ำไว้ในเซลล์มากขึ้นเพื่อ เจือจางระดับเกลือในเลือด ผลคือจะรู้สึกหน้าบวม ตัวพอง น้ำหนักขึ้นไวภายในวันสองวันแรก โดยเฉพาะถ้าดื่มน้ำน้อยหรือยังคงกินเค็มต่อเนื่อง
- วิธีแก้ : ลดโซเดียมในแต่ละวันให้ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม (เทียบเท่าเกลือประมาณ 1 ช้อนชา) และดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายขับโซเดียมส่วนเกินออกได้เร็วขึ้น
2. พักผ่อนไม่พอ หรือเครียดสะสม
เวลานอนน้อยหรือมีความเครียดสูง ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) มากขึ้น ซึ่งมีผลให้ร่างกายกักเก็บโซเดียมและน้ำไว้ในเซลล์มากขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้ตื่นเช้ามาแล้วหน้าบวม ตาบวม หรือรู้สึกตัวแน่น ๆ
- วิธีแก้ : พยายามนอนให้ครบ 6 - 8 ชั่วโมงต่อคืน งดการดูหน้าจอก่อนนอน 1 ชั่วโมงเพื่อลดความเครียดของสมอง และหากมีความเครียดสะสม ควรหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลง เดินเล่น หรือฝึกหายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อลดระดับคอร์ติซอลในร่างกาย
3. การนั่งหรือยืนนานเกินไป
การอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ โดยไม่ขยับร่างกาย เช่น นั่งทำงานทั้งวัน หรือยืนขายของหลายชั่วโมง ทำให้เลือดและน้ำเหลืองไหลเวียนได้ช้าลง โดยเฉพาะบริเวณขาและเท้า เมื่อเลือดไหลกลับหัวใจได้ไม่ดี ของเหลวจึงคั่งอยู่ในเนื้อเยื่อและเกิดอาการบวม
- วิธีแก้ : ลุกขึ้นขยับตัวทุก 1-2 ชั่วโมง ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือเดินสั้น ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียน และหากรู้สึกขาบวมตอนเย็น ลองยกขาสูงขณะนอนพักจะช่วยให้น้ำกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนได้ดีขึ้น
4.ภาวะก่อนมีประจำเดือน (PMS)
ผู้หญิงจำนวนมากมักเจอภาวะบวมน้ำก่อนมีประจำเดือน เพราะระดับฮอร์โมน เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน แกว่งตัว ทำให้ร่างกายกักน้ำไว้ในเนื้อเยื่อมากขึ้น บางคนจะรู้สึกแน่นท้อง ขาและหน้าเริ่มบวมตั้งแต่ 3–5 วันก่อนประจำเดือนมา
- วิธีแก้ : ดื่มน้ำมากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม หวาน และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงนี้ เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายบวมน้ำ
5. ดื่มน้ำน้อยเกินไป
หลายคนคิดว่าดื่มน้ำน้อยจะช่วยลดอาการบวม แต่จริง ๆ แล้วตรงกันข้ามเลยค่ะ เพราะเมื่อร่างกายรู้สึกว่า “ขาดน้ำ” จะเข้าสู่โหมดป้องกันตัวเองโดย กักเก็บน้ำไว้ในเซลล์ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการขาดน้ำ จึงยิ่งทำให้บวมมากกว่าเดิม
- วิธีแก้ : ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 6–8 แก้ว หรือประมาณ 1.5–2 ลิตร และเพิ่มปริมาณขึ้นหากออกกำลังกายหรืออยู่ในอากาศร้อน
-----------------------
*Cosmenet Smart Beauty รีวิวดีบอกต่อ
-----------------------
หากสาว ๆ ลองเช็กแล้วพบว่าน้ำหนักขึ้นเพราะ “บวมน้ำ” ไม่ต้องตกใจไปนะ เพราะอาการนี้สามารถปรับให้ดีขึ้นได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ทั้งการลดเค็ม ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้พอ และขยับร่างกายสม่ำเสมอ เมื่อร่างกายกลับเข้าสู่สมดุล ความบวมก็จะค่อย ๆ หายไปเองค่ะ
อ่านคอนเทนต์เคล็ดลับการดูแลตัวเองอื่น ๆ เพิ่มเติมคลิกเลย!