
เชื่อหรือไม่ว่าถึงแม้ผู้หญิงสมัยนี้ภายนอกจะดูมั่นใจชอบแต่งหน้าแต่งตัวอัพโหลดรูปขึ้นโซเชี่ยลเน็ทเวิร์ค แต่จากการสำรวจผู้หญิงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อายุระหว่าง 18-64 ปี จำนวน 1,806 คนในเดือนมีนาคม 2556 โดยผลิตภัณฑ์โดฟ จากบริษัทยูนิลีเวอร์ ในหัวข้อทัศนคติและมุมมองเกี่ยวกับความงามและความสุข พบว่าแม้ผู้หญิงไทยจะใช้เวลาในการดูแลเรื่องความงามในแต่ละวันนานถึง 24 นาที ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของผู้หญิงทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้เวลาราว 19 นาที
แต่ปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 1 ของผู้หญิงไทยที่มีความมั่นใจในความงามของตนเองและกล้านิยามว่าตนเองดูดี ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่น้อยที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ค่าเฉลี่ยร้อยละ 3) และน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของผู้หญิงทั่วโลกที่ร้อยละ 4
** ทั้งนี้ ผู้หญิงไทยส่วนมากจะมองว่าตนเองหน้าตาธรรมดา ไม่ได้มีความโดดเด่นและดูดี โดยมีผู้หญิงไทยถึง 9 ใน 10 ที่ระบุว่าตนเองยังไม่พอใจรูปร่างหน้าตาของตนเอง ซึ่งขัดแย้งกับคำตอบของกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 79 ที่เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนมีความงามในแบบของตนเอง

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ผลการสำรวจยังชี้ว่าผู้หญิงไทยถึงร้อยละ 66 มีความกดดันและกังวลในรูปลักษณ์ของตนเอง ซึ่ง ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผู้หญิงไทยขาดความมั่นใจคือคำวิจารณ์จากตนเอง โดยหากจะพิจารณาเป็นรูปธรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คลิปวีดีโอ
Dove Real Beauty Sketch*** ที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คขณะนี้
ซึ่งถ่ายทอดเรื่องเรื่องของจิล ซาโมร่า (Gil Zamora) นักวาดภาพผู้ต้องสงสัยมืออาชีพของ สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ เอฟบีไอ ที่นั่งอยู่หลังม่านเพื่อสเกตช์ภาพจากคำบอกเล่าการบรรยายถึงหน้าตาของตนเองของผู้หญิงหลาย ๆ คน เปรียบเทียบกันกับภาพสเกตช์ของผู้หญิงเหล่านั้นจากการบรรยายรูปลักษณ์โดยคนอื่น ซึ่งผลลัพธ์ที่น่าตกใจคือภาพสเกตช์จากคำบรรยายโดยบุคคลอื่นออกมาดูดีกว่าภาพสเกตช์ที่ผู้หญิงอธิบายตนเองแทบทุกภาพ ตอกย้ำผลลัพธ์ในเรื่องทัศนคติที่ว่าผู้หญิงมักเห็นคุณค่าความงามของตนเองน้อยกว่าที่เป็นจริง
ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องการขาดความมั่นใจในเรื่องรูปลักษณ์ของตนเองสามารถส่งผลกระทบต่อความสุขและความพอใจในชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก โดยเฉพาะผู้หญิงไทย เนื่องจากผู้หญิงไทยกว่าร้อยละ 60 เชื่อว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามจะนำไปสู่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า นอกจากนี้ผู้หญิงไทยถึงร้อยละ 79 เผยว่าความพอใจในความงามของตนเองทำให้มีความสุขมากขึ้น โดยเป็นอัตราส่วนที่สูงยิ่งกว่าความสุขจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการมีความมั่นคงทางการเงิน
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์
ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า
“ผู้หญิงมีแนวโน้มขาดความมั่นใจมากกว่าผู้ชายเพราะค่านิยมของสังคมกำหนดคุณค่าของผู้หญิงที่ความสวย ตรงข้ามกับผู้ชายที่ถูกกำหนดคุณค่าที่ความสามารถ โดยผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องความงามมากกว่าเรื่องความสำเร็จจากหน้าที่การงานและฐานะทางการเงิน เนื่องจากการเรียนรู้ที่ว่าความสำเร็จในชีวิตผู้หญิงมักมีเรื่องความงามมาเกี่ยวข้อง อาทิ นางเอกในเทพนิยายหรือละครล้วนแล้วแต่หน้าตาสะสวยจึงมีคนรักและมีความสุขในชีวิต นอกจากนี้หากมีความสามารถใกล้เคียงกัน ผู้หญิงที่สวยกว่ามักจะได้รับโอกาสที่ดีกว่าผู้หญิงที่ไม่สวย ดังนั้น เมื่อบวกกับการที่ผู้หญิงเป็นเพศที่มีความคาดหวังสูงทำให้ผู้หญิงมักจะประเมินคุณค่าความงามของตนเองต่ำกว่าเมื่อผู้อื่นประเมินให้เรา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเมื่อผู้หญิงส่องกระจกแล้วจะรู้สึกว่าสวยไม่พอ สวยแล้วต้องสวยกว่านี้อีก เช่น จริง ๆ มีสิวเม็ดเล็กนิดเดียวแต่ผู้หญิงกลับเห็นว่าใหญ่เท่าใบหน้า ผลกระทบจากความคาดหวังว่าฉันต้องสวย ทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าฉันควรจะสวย แล้วชักนำผู้หญิงไปสู่ภาวะวิตกกังวลและขาดความเชื่อมั่นในตนเองในที่สุด โดยมองตนว่ารูปลักษณ์เลวร้ายกว่าความเป็นจริง นำไปสู่ปัญหาในการดำเนินชีวิต เสียทรัพย์ เสียสุขภาพ ไปกับการทำศัลยกรรมและการลดความอ้วนที่เกินความจำเป็น โดยอาจมีอาการเสพติดศัลยกรรม หรือ เกิดปัญหาทางจิตใจต่าง ๆ เช่น Body Dysmorphic Disorder และโรคกลัวอ้วน หรือ Bulimia และ Anorexia”
“ในส่วนของประเด็นทีผู้หญิงไทยมีความมั่นใจน้อยกว่าผู้หญิงในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกนั้น สาเหตุสำคัญมาจากบริบททางสังคมและการเลี้ยงดู เนื่องจากแม้ผู้หญิงไทยจะมีต้นทุนทางรูปลักษณ์ไม่ด้อยไปกว่าผู้หญิงประเทศอื่น ๆ แต่สังเกตได้ว่าครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์ลูก ๆ มากกว่าที่จะคอยให้กำลังใจและชื่นชมลูกในด้านความงามเหมือนครอบครัวตะวันตกที่มักจะชื่นชมว่าลูกสวย น่ารัก ดูดี เพราะครอบครัวไทยจะให้ความสำคัญเรื่องการกวดขันให้ลูกเรียนเก่ง ทำงานเก่ง และเป็นคนดีเป็นสำคัญ ดังนั้นเด็กไทยจึงไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับชุดความคิดอัตโนมัติที่จะช่วยสร้างความมั่นใจด้านรูปลักษณ์ของตนเอง” พญ.อัมพร กล่าวเพิ่มเติม
ลองถามตัวคุณเองดูว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้หญิง 99% หรือเปล่าที่ประเมินค่าความงามและความมั่นใจของตนเองต่ำกว่าที่คนอื่นเล็งเห็นคุณค่าและความงามของคุณ?
*ที่มา: Dove Research 2013: The Real Truth About Beauty: Revisited
**Dove Global Research 2010
***www.youtube.com/watch?v=fDzj8VIFNMU