ได้ตัวทดลอง Clinique Even Better Clinical Radical Dark Spot Corrector + Int มาจากการร่วมกิจกรรม ขอบคุณกิจกรรมดีๆจาก Cosmenet มากๆค่ะ
ตัวเนื้อเซรั่ม : เป็นคนผิวแพ้ง่ายเวลาที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวหน้า จะไม่ค่อยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เมื่อได้ลองเซรั่มแล้วรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นของเซรั่ม แต่ที่ชอบคือไม่มีกลิ่นน้ำหอมทำให้มั่นใจในระดับนึงว่าไม่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ อ่นอโยนเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายอย่างเรา ตอนแรกที่สัมผัสเนื้อเซรั่มคิดว่าเมื่อทาที่หน้าจะเหนียวแหนะ แต่เมื่อทาบนหน้าแล้วไม่ได้รู้สึกเหนียวแหนะกลับรู้สึกว่าผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น เซรั่มเกลี่ยง่าย
ผลลัพท์
สัปดาห์แรก : ก่อนใช้หน้ามีรอยแดงจากสิวเยอะมาก แต่เมื่อได้ใช้ในสัปดาห์แรก รอยแดงจากสิวเริ่มน้อยลง ผิวเริ่มกระจ่างใสขึ้น
สัปหาห์ที่สอง : หลังใช้ไปได้สองสัปดาห์ ความเห็นชัดที่สังเกตเห็นได้อย่างแรก คือ รอยแดงจากสิวลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวหน้ามีความกระจ่างใสขึ้นมากๆ เม็ดสีผิวมีความขาวสม่ำเสมอกันทั่วหน้า ผิวหน้าไม่แห้งเหมือนขาดน้ำ มีความชุ่มชื้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ใช้ ความเห็นส่วนตัวอยากให้ออกสูตรกระชับรูขุมขนบ้างค่ะ
เซรั่ม CLINIQUE Even Better เค้าจะเป็นสูตรสำหรับช่วยลดจุดด่างดำ เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวโดยเฉพาะค่ะ เข้ากับปัญหาผิวของเรามากๆ ก็คือ
- สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- มีรอยสิวเยอะมากกกก ทั้งรอยดำ และรอยแดง
สำหรับเราที่มีปัญหารอยสิวค่อยข้างเยอะอยู่เหมือนกัน ปกติเลยจะใช้เซรั่มไวท์เทนนิ่งที่ช่วยลดพวกรอยสิวแบบนี้อยู่แล้วค่ะ สำหรับเซรั่มของ CLINIQUE ตัวนี้เค้าจะเป็นสูตรที่ปรับปรุงใหม่ล่าสุด (2020) ค่ะ
:: เนื้อสัมผัส / กลิ่น / การซึมซาบ ::
- เนื้อเซรั่มสีขาวขุ่น เมื่อทาลงบนผิวแล้วจะแห้งไปกับผิวเลย แต่ให้ความรู้สึกเคลือบผิวเบาๆ คล้ายๆกับเวลาทาไพร์เมอร์เลยค่ะ คิดว่าคงเพราะมีส่วนผสมของซิลิโคน เลยแอบคิดว่าคงจะไม่เป็นมิตรกับผิวอุดตันง่ายของเราเท่าไหร่ ฮือ เลยใช้เฉพาะกลางวันค่ะ
- กลิ่นหอมอ่อนๆค่ะ แต่แบรนด์เคลมว่าไม่มีน้ำหอมนะคะ
- เนื้อเซรั่มเกลี่ยง่าย ซึมไวมากกกก ถึงจะรู้สึกว่าเคลือบผิว แต่ก็ไม่ได้เหนอะหนะผิวเท่าไหร่ค่ะ พอเซรั่มเซตตัวแล้วก็รู้สึกเบาๆผิวอยู่นะ
:: ผลลัพธ์หลังใช้ 2 สัปดาห์ ::
- สีผิวโดยรวมก็ดูสม่ำเสมอขึ้น สีผิวดูเนียนเท่ากันทั้งใบหน้าค่ะ รู้สึกกระจ่างใสขึ้นเล็กน้อย
- รอยสิว ช่วงที่เราใช้เพิ่งไปกดสิวมาพอดี รอยกำลังมีเพียบ 5555 รอยสิวก็จางลงตามภาพเลยค่ะ เค้าช่วยลดรอยได้ทั้งรอยแดง รอยดำเลยนะ แต่รอยดำเก่าที่สีเข้มหน่อยอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่านี้ค่า
:: สรุป ::
โดยรวมแล้วถือว่าเห็นผลเรื่องลดจุดด่างดำ รอยสิวตามคำเคลมค่า ถึงราคาจะแรง แต่ก็ค่อยๆเห็นผลในระยะเวลา 14 วันนะ ถ้าปรับสูตรให้ไม่มีส่วนผสมของซิลิโคนจะดีมากๆค่า > <
ดีใจที่ได้มีโอกาสได้ลอง clinique ตัวนี้ เคยอ่านรีวิวหลายเสียงว่าเริ่ด คนมีจุดด่างดำอย่างเราอยากลองมากกก.... เพราะหลังจากที่มรสุมสิวโหมกระหน่ำ ก็ทิ้งรอยดำไว้เพียบเลยจ้าาา...Y^Y
ขอบอกก่อนว่าเราเป็นคนผิวแพ้ง่ายและอุดตันง่ายมากกกก อะไรนิดหน่อยสิวก็ถามหา เลยจะค่อนข้างระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์นิดนึง
ตัวนี้เห็นทางแบรนด์บอกว่าปรับสูตรใหม่ เป็นสูตรที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี ในไลน์ของเค้าเลย ตัวนี้มีไวท์เทนนิ่งด้วยนะคะ ซึ่งจะช่วยให้ผิวเราดูกระจ่างใสขึ้น พูดง่ายๆคือไม่ได้มีดีแค่ลดรอยดำรอยแดงสิว แต่ยังทำให้ผิวหน้าเราดูกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย
ส่วนผสมหลักๆ ของเจ้าตัวนี้ ที่ทางแบรนด์เน้นๆเลยก็คือ ลด และ ยับยั้งจุดด่างดำคือ เพราะไม่ใช่แค่ช่วยให้จุดด่างดำเก่าเราหาย แต่ยังช่วย ยับยั้งจุดด่างดำที่กำลังจะเกิดใหม่อีกด้วย
ความคิดเห็นหลังจากที่ได้ทดลองใช้...
เนื้อผลิตภัณฑ์ เป็นเนื้อเซรั่ม ไม่ได้เนื้อหนักมาก แต่ก็ไม่ได้บางเบา ทาง่าย เกลี่ยง่าย ซึมง่าย แต่หลังซึมลงผิว เรามีความรู้สึกว่ามันเคลือบๆเล็กน้อย แอบคิดอยู่ว่ามีซิลิโคนหรือเปล่า
ส่วนกลิ่นธรรมดาค่ะ ไม่หอมไม่เหม็น เพราะตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่า ไม่มีน้ำหอมจ้า
ผลลัพธ์หลังการใช้เอาจริง ๆ เกือบไปไม่ถึง 14 วัน หลังใช้ได้ประมาณว่า 5 วัน เอาล่ะ เริ่มรู้ตัว เหมือนครีมไม่ค่อยถูกกับผิวเราเท่าไหร่ค่ะ เพราะเราสิวขึ้น Y^Y เป็นสิวแดงๆที่ขึ้นมา ไม่มีหัว บีบไม่ได้ เป็นรอยแดงๆ แบบอักเสบ เริ่มคิดว่า ไม่ถูกกับหน้าเราหรือเปล่า เลยหยุด clinique ไปประมาณ 2-3 วัน สิวยุบละทุกอย่างดีขึ้น (แอบนอกเรื่องสิวเราจะหยุบค่อนข้างไว้ เราใช้ Aesop B&C มาสก์ ช่วยลดสิวอักเสบ สิวอุดตันจ้า) หลังจากที่สิวยุบ เราขอลองอีกรอบ เพื่อให้แน่ใจ ใช้ไปอีก 3 วัน มาอีกล้าวววว เจ้าสิว! แบบเดิม เอาเป็นว่า ใครหน้าอุดตันหรือเป็นสิวอักเสบง่าย หลีกเลี่ยงดีกว่า
เดี๋ยวว่าเจ้าตัวนี้ไม่มีข้อดี เรื่องรอยดำ ทำให้จางลงอยู่ค่ะ ลองเทียบ 2 รูป และเพื่อนก็ทักว่า เห้ยยยย หน้ากระจ่างใสขึ้น ดูผิวสม่ำเสมอ คือมันเห็นชัดใน 2 เรื่องนี้จริง!
ดังนั้นถ้าใครไม่ได้ผิวแพ้ง่าย อุดตันง่าย เราว่าก็เป็นตัวที่น่าสนใจอยู่น้าาาา เพราะเห็นผลจริงไรจริง
อันนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเราที่ทดลองจริง เพราะผิวหน้าแต่ละคนไม่เหมือนกันนะจ๊ะ ^^ ดังนั้น อย่าเพิ่งเชื่อเราทั้งหมด ใครอยากทดลองจริงๆ ที่เคาน์เตอร์มีขนาดซองให้ทดลอง BA แบรนด์นี้ก็น่ารัก ลองไปขอตัวทดลองก่อนสอยตัวจริงมาก่อนก็ได้น้าาาา เพราะถ้าใช้ถูกกับผิวหน้า เค้าก็เริ่ดจริง รอยดำลดลงจริงจ้าาา
ปล. วงสีขาวรูปหลังใช้ 14 วันเป็นสิวที่พึ่งขึ้นหลังใช้ค่ะ แต่ภาพรวมรอยสิวลดลงจริงๆ
ทุกคนจะต้องเจอปัญหาจุดด่างดำจากสิวกันอยู่แล้วใช่มั้ยคะ
ออฟเองก็เป็นอีกคนที่เจอปัญหานี้ตลอด ไม่ว่าอายุจะผ่านกี่ปีก็ตาม เศร้า 555 เลยขอมาบอกเล่าความรู้สึกหลังจากทดลองใช้ Clinique Even Better Clinical Radial Dark Spot Corrector+Interrupter ที่ได้รับจาก Cosmenet และ Clinique Thailand แบ่งปันเพื่อนๆกับชาว Cosmenet กันค่ะ ^^ ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณทางทีมงานที่เลือกให้เราเป็นผู้โชคดีมาลองใช้ ดีใจมากๆเลยค่ะ เพราะมาได้ถูกจังหวะที่ออฟมีปัญหารอยสิวพอดี เป็นการแชร์ตามความรู้สึกแล้วกันนะคะ
.
ออฟเคยเห็นครั้งแรก Clinique Even Better Clinical Dark Spot นี่น่าจะเป็นเมื่อ 2-3ปีก่อนที่จะมาเข้าสู่วงการสกินแคร์นะคะ แต่จริงๆแล้วเขามีมา 10ปีแล้วนะ (ยาวนานมากก) แต่ทางเรายังไม่เคยลองใช้ นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่ได้ลอง ซึ่งเป็นโปรดักซ์ที่ดังของ Clinique อีกอันเลยก็ว่าได้ค่ะ โดยความพิเศษในรอบ 10 ปีนี้ต้องมีการพัฒนาเกิดขึ้น จุดเด่นที่เพิ่มเข้ามาคือเป็นสูตรปรับปรุงที่เข้มข้นขึ้น โดยผสาน “CL 302 Equalizer Technology” นั่นคือการจัดการจุดด่างดำที่มีอยู่ให้สว่าง กระจ่างใสมากขึ้น และมีตัว “Interrupter Complex” มาช่วยยับยั้งการเกิดรอยดำในอนาคตด้วย ว้าว อันนี้อะเมซิ่งมากเลยค่ะ เรียกว่าทั้งแก้ไขปัญหาและป้องกันการเกิดปัญหาไว้ในขวดเดียวเลย เพราะบางทีเราก็ต้องการอะไรที่ครบ จบในขวดเดียวเนอะ ^^ เราเห็นว่ามีอีกตัวคือ “Salicylic Acid” เข้ามาเพื่อช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ตัวนี้หลายๆคนต้องรู้จัก เพราะผิวของเราต้องมีการผลัดเซลล์ด้วยนะคะ เพราะไม่เช่นกันเวลาทาสกินแคร์แพงแค่ไหน ดีแค่ไหน มันจะกองอยู่บนหน้าเราค่ะ โดยการผลัดเซลล์ผิวนี้ไม่ได้ทำให้หน้าออฟแสบแต่อย่างใดนะคะ และที่ใส่มาแบบคุ้มคือ เขาใส่ “Interupter Complex” ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและอนุมูลอิสระ นี่ล่ะที่เราว่าคุ้ม เพราะดูจากสภาพอากาศบ้านเราในตอนนี้ บอกเลยว่าแย่มากๆ ต้องมีตัวช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นด้วยนะคะ จะได้ไม่เกิดปัญหาอื่นๆตามมาเช่น สิว ริ้วรอย ความหมองคล้ำนั่นเองค่ะ
.
นอกจากส่วนผสมที่ใส่เข้ามาในรอบ 10ปี Clinique ก็ได้ออกแบบแพ็คเกจจิ้งให้กดง่ายกว่าเดิม โดยผสานอยู่ในขวดเดียว เราชอบความเล่นแสงของขวดมากเลยค่ะ ดูจากรูป Ads แล้ว คิดว่าต้องมีประดับโต๊เครื่องแป้งแบบสวยๆแน่นอน (เป็นคนชอบแพ็คเกจจิ้งสวยๆ เวลาหยิบใช้เพลินตา เพลินใจ ดีค่ะ ^^)
.
ส่วนแพ็คเกจจิ้งในขนาดทดลองที่ออฟได้ใช้นั้น มาในขนาด 10 ml เป็นหัวปั๊มง่าย เห็นขวดจิ๋วๆนี้สามารถคอนโทรลปริมาณได้อยู่นะคะ
.
เนื้อเซรั่มเป็นสีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่นหอมใดๆ คิดว่าเหมาะมากกับคนที่ไม่ชอบน้ำหอมในสกินแคร์ อันที่จริง Clinique เขาจะเน้นไปทาง Fragrance Free 100% อยู่แล้วด้วยค่ะ เหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผิวแต่ละบุคคล) เนื้อเกลี่ยง่ายทีเดียวค่ะ ทาแล้วจะมีความเคลือบผิวนิดๆ แต่สักพักก็ซึมลงผิว ไม่เหนอะ ไม่มันเลยจริงๆ ออฟเองผิวมันอยู่แล้ว สัมผัสได้เลยค่ะ ชอบตรงนี้
.
สำหรับการใช้ ด้วยปริมาณที่ไม่เยอะมากนัก เราใช้วิธีแต้มๆเอาค่ะ เพราะกลัวหมด 5555 >< ทำให้ใช้ได้ประมาณ 2วีคพอดี โดยแต้มที่บริเวณรอยสิวหนักๆเช่น ข้างแก้ม คาง และคอ ซึ่งตรงคอนี่ล่ะมีเยอะมาก
.
ผลลัพธ์ของ Clinque Even Better Clinical Radial Dark Spot เป็นตามในรูปเลยค่ะ ที่รู้สึกว่ารอยดำดีขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ถึงกับจางไปเลยทีเดียว เราคิดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อจะรู้ผล ฉะนั้น ตรงนี้คิดว่าต้องใช้อย่างต่อเนื่องนะคะ จุดด่างดำต่างๆต้องดีขึ้นแน่นอน โดยภาพรวมคือช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส แบบค่อยๆดีขึ้นนะคะ ที่สำคัญเราไม่มีการแพ้ใดๆ คือไม่มีผดผื่น ส่วนสิวเรามีประปรายอยู่ตามช่วงรอบประจำเดือนค่ะ ขอให้คะแนนตามนี้นะคะ
ลดรอยจุดด่างดำ 4/5
ผิวกระจ่างใส 4.5/5
ความชุ่มชื้น 4.5/5
ขนาดและปริมาณ 3.5/5
สรุปคะแนนโดยรวม ให้ 4/5
คือเป็นอีกเซรั่มที่ดีอีกแบรนด์นึง ที่ช่วยกู้จุดด่างดำ จากรอยสิวต่างๆ ให้ผิวโดยรวมดูไบร์ทขึ้น เสริมให้ชั้นผิวหนังแข็งแรงด้วยค่ะ แต่ราคาจะสูงไป หากน้องๆนักศึกษาอยากจะลอง หรือคนที่มีงบซื้อสกินแคร์ลดรอยไม่สูงมาก อาจจะต้องลองเลือกขนาด 30ml 2,850 บาท สอยไซส์เล็กมาก่อนก็ได้ ^^ แต่ถ้าใครมีงบแบบจัดเต็ม แนะนำเลยค่ะ เพราะคิดว่าถ้าใช้ระยะยาว คุ้มค่าแก่การลงทุนแน่นอน ^^
สุดท้ายนี้ผลลัพธ์ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคลนะคะ
การใช้สกินแคร์จะต้องลองด้วยตนเอง หรือหากใครสนใจในโปรดักซ์ต่างๆของคลีนิกซ์ เขาจะมีให้ลงทะเบียนรับเทสเตอร์อยู่ด้วยนะคะ เอาลองมาใช้ได้ฟรีค่ะ ก่อนตัดสินใจไปซื้อไซส์จริง :)
ความรู้สึกต่อรูปลักษณ์ภายนอก/ความรู้สึกก่อนใช้ ได้รับตัวอย่างทดลองใช้
ความรู้สึกภายหลังใช้
ข้อดี เนื้อเข้มข้น ให้ความชุ่มชื้นได้เลยเลย ใช้ปริมาณน้อยก้อชุมชื้นทั้งหน้า หน้าเนียนใส อิ่มฟูตอนตื่นนอนมา
ข้อด้อย ราคาแพง
ซื้อซ้ำไหม ไม่