การป้องกันผิวจากรังสียูวี เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการป้องกันการเกิดฝ้า พกร่มกันแดดติดตัวไปด้วยทุกที่ หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง และที่สำคัญต้องทา 'ครีมกันแดด' ทุกเช้าก่อนออกไปสู่มลภาวะภายนอก นอกจากนี้ก็ควรดูแลสุขภาพผิวจากภายใน โดยการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ที่เป็นตัวช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฝ้าขยายใหญ่หรือลุกลามไปมากกว่านี้
แม้ว่าจะดูแลผิวและหลีกเลี่ยงแสงแดดแล้ว แต่บางทีแดดมันแรงจริงๆ ก็เอาไม่อยู่ ถ้าสังเกตเห็นว่าใบหน้าของคุณหมองคล้ำ และมีฝ้าเกิดขึ้น ก็ต้องรีบดูแลเป็นพิเศษ หนึ่งในสูตรการรักษาฝ้าจากธรรมชาติก็คือ 'ว่านหางจระเข้'
ใช้ว่านหางจระเข้ 1 ใบใหญ่ นำไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที จากนั้นปอกเปลือกออกและล้างให้สะอาด นำไปปั่นหรือบดให้ละเอียดดี แช่ตู้เย็นสักครู่ แล้วจึงนำออกมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างน้ำออกให้สะอาด ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ฝ้าหายได้เร็วขึ้น
ไม่อยากเชื่อว่าไข่ไก่ดิบสามารถนำมาใช้ประโยชน์ด้านผิวพรรณและความสวยความงามได้ด้วย วิธีนี้จะช่วยรักษาฝ้าให้จางลง โดยนำไข่ดิบมาตอกแล้วแยกไข่แดงออกไป
เอาเฉพาะไข่ขาวดิบมาทาบางๆ ให้ทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ไข่ขาวจะช่วยดูดซับรอยฝ้าและสิ่งสกปรกให้หมดไปจากใบหน้าได้ จากนั้นนำสำลีชุบน้ำอุ่นมาเช็ดออกให้หมด แล้วล้างหน้าด้วยน้ำเย็นพร้อมโฟมล้างหน้าตามปกติ เช็ดหน้าให้แห้ง ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
หัวไชเท้า เป็นพืชหัวใต้ดินที่มีน้ำเยอะ มีสรรพคุณช่วยรักษาฝ้า แก้ปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ช่วยลดริ้วรอยต่างๆ และทำให้หน้ากระจ่างใสขึ้นอีกด้วย
วิธีใช้ คือ นำหัวไชเท้าสดมาล้าง ปอกเปลือกให้หมด แล้วบดหยาบๆ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที (ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย) แล้วล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำเย็น ควรทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง หรือวันเว้นวัน ก็จะช่วทำให้ฝ้าดูจางลงได้
สมุนไพรรักษาฝ้าอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจ นั่นคือ ใบบัวบก มีการวิจัยพบว่าใบบัวบกนั้นมีสรรพคุณในการช่วยรักษาอาการของโรคผิวหนังได้ โดยเฉพาะฝ้า กระ และสิว
วิธีใช้ คือ ตัดใบบัวบกสดๆ ทั้งใบและก้าน นำมาปั่นแล้วใช้น้ำใบบัวบกมาเช็ดหน้าแทนการใช้โทนเนอร์ก่อนนอนทุกวัน เพียงเท่านี้รอยฝ้าก็จะค่อยๆ จางลง ช่วยรักษาผิวหน้าให้กลับมาเรียบเนียน สว่างสดใสได้เร็วขึ้น
แอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นน้ำส้มสายชูหมักชนิดหนึ่งที่หมักจากแอปเปิ้ล นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มช่วยดับกระหายคลายร้อน และช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ได้ แถมยังมีประโยชน์ด้านความงามและผิวพรรณอีกมากมาย โดยเฉพาะการรักษาฝ้า
วิธีใช้ คือ นำน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์มาผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย แล้วใช้สำลีชุบและเช็ดให้ทั่วใบหน้า รอจนแห้งแล้วจึงล้างหน้าด้วยน้ำเย็นตามปกติ ในน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์มีฤทธิ์เป็นกรด จึงช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเนียนนุ่มขึ้นได้ ควรทำแค่สัปดาห์ละ 1 ครั้งก็พอ
มะขามเปียก ซึ่งมีกรด AHA ตามธรรมชาติ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก ทำให้รอยฝ้าดูจางลง และยังช่วยลดรอยด่างดำได้ด้วย (ถ้าไม่มีมะขามเปียก ก็อาจใช้เป็นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดแทนก็ได้)
วิธีใช้ คือ นำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำสะอาด คั้นจนเนื้อมะขามหลุดออกมา จากนั้นนำมาพอกหรือทาบางๆ บริเวณผิวที่เป็นรอยฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก ควรทำแค่สัปดาห์ละ 1 ครั้งก็พอ.
8. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ น้ำมันม้า
น้ำมันม้ามีเซราไมด์สูงมาก ประโยชน์ของเซราไมด์นั้นทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้น ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวพรรณดูกระจ่างใสขึ้น โดยธรรมชาติเซราไมด์จะค่อยๆมีปริมาณลดน้อยลง เมื่อมีอายุมากขึ้น จึงเป็นผลให้สภาพผิวมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวขาดเซราไมด์ คือ พันธุกรรมมีผิวแห้งแต่กำเนิด การสัมผัสกับแสงแดด รวมถึงความเครียดก็เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างเซราไมด์ลดลง หากผิวเกิดการขาดเซราไมด์ จะส่งผลให้ผิวแห้งแตกง่าย เกิดริ้วรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ บนผิวขึ้นอีกด้วย
ขอบใจจร้าปกติใช้มะขามบ้าง,,ไชเท้าบ้าง